[os(AU) : #พี่ทารคา] One nignt

 

One night

Paring : ทารคา x มารตา

Note : มีคำหยาบ , นิสัยตัวละครไม่เหมือนเดิม , AU

Tag : #พี่ทารคา

 

 


 

 

 

 

เขาจำไม่ได้ว่าประโยคแรกที่เขาเอ่ยทักอีกฝ่ายคืออะไร

 

‘สวัสดี’

 

ไม่น่าใช่

 

‘ผมเห็นคุณมองผม’

 

ก็อาจจะ

 

‘เอากันไหม?’

 

ค่อยใกล้เคียงหน่อย

 

 

 

____

 

 

 

“ขอโทษครับ ตึก5 ไปทางไหนครับ” เขาเงยหน้าจากกองเอกสารขึ้นสบกับดวงตากลมใส พวงแก้มขาวนวลบนใบหน้าน่ารักขึ้นสีแดงระเรื่อ ทารคาเลิกคิ้วเมื่อเห็นปฏิกิริยานั้น

 

“เลี้ยวซ้าย อยู่ใกล้ ๆ หอสมุด”

 

“เอ่อ ผมเดินวนมาหลายรอบแล้ว…” เด็กหนุ่มในชุดนิสิตใหม่ยิ้มกรุ่มกริ่ม แฝงแววด้วยความเจ้าเล่ห์เล็ก ๆ “เกรงว่าจะหลงน่ะครับ”

 

คำเชิญชวนตรงไปตรงมานั้นเรียกเสียงหัวเราะจากเขาได้แผ่วเบา เขาขยับตัวยื่นหน้าเข้าไปใกล้  เสียงแหบพร่ากระซิบชิดเข้ากับใบหูแดง ๆ นั่น

 

“แล้ว?”

 

สัมผัสวาบหวามทำเอาคนตัวเล็กกว่าขนลุกซู่ หากนี่ไม่ใช่ห้องทะเบียนของมหาลัย คงตะครุบใบหน้าหล่อเหลานั้นเข้ามาประกบจูบเสียให้รู้แล้วรู้รอด

 

“อ๊อด มึงพาน้องไปตึก5หน่อย กูไม่ว่าง” ราวสายฟ้าฟาด ทารคาผละออกมาจากเคาท์เตอร์ประชาสัมพันธ์ที่ยืนอยู่ หย่อนตัวนั่งลงรื้อเอกสารบนโต๊ะต่อ โดยไม่สนใจสิ่งรอบข้างอีก เด็กหนุ่มยืนนิ่ง คาดว่ายังคงตามเรื่องไม่ทัน เขากำลังตกได้ปลาตัวงาม แต่กลับกลายเป็นว่าเบ็ดของเขาไม่ได้เกี่ยวตัวปลาด้วยซ้ำ เด็กหนุ่มยังคงเหลือบมองมาทางคนตัวสูงคล้ายกับมองหาความหวังอะไรบางอย่าง ขณะเดินออกจากห้องไป

 

“เล่นหูเล่นตากันจนกูนึกว่ามึงจะลากน้องไปเอาละ” หลังจาก อ๊อดพาเด็กหนุ่มนิสิตใหม่ออกไป ไชย ที่นั่งคีย์ข้อมูลห่างออกไปไม่ไกลอดไม่ได้ที่จะเอ่ยแซว เขาเห็นทุกการกระทำของเพื่อน และเจ้าเด็กโชคร้ายคนนั้น แต่ก็อดแปลกใจไม่ได้ เดิมทีถ้าใครหน้าตาน่ารัก น่าเอา มาให้ท่า เพื่อนเขาก็พร้อมสนองได้ตลอดเวลาอยู่แล้ว แต่นี่ไม่สนใจไม่พอกลับไม่คิดเหลือเยื่อใยใด ๆ ไว้ให้ผูกสัมพันธ์

 

“เห็นกูเป็นคนยังไง”

 

“เหี้ย”

 

ทารคาชูนิ้วกลางกลับไป

 

“แล้วทำไมปล่อยไป”

 

“ไม่รู้ ไม่อยากมั้ง” ทารคายักไหล่ไม่สนใจ นั่นยิ่งทำให้ไชยเริ่มสงสัยพฤติกรรมอันผิดวิสัย ของเพื่อน

 

“แปลก”

 

“ยังไง”

 

“ปกติเอาไม่เลือก”

 

และไชยก็ได้รับนิ้วกลางไปอีกครั้ง

 

 

 

____

 

 

 

ทารคาจำไม่ได้ว่าอีกฝ่ายพูดกับเขาว่าอะไรบ้าง หรือจริง ๆ แล้วเราอาจจะไม่ได้พูดอะไรกันเลยตั้งแต่แรก เขาแตะแขนคนตรงหน้าเบา ๆ เพื่อทักทาย แต่ทันทีที่เราสบตากันกลับเป็นเขาเองที่เผลอกำรอบข้อมือนั้นแน่นราวกลับกลัวว่าคนตรงหน้าจะหายไป ดวงตาคมสีอำพันกำลังออดอ้อนขอคำอนุญาต อีกฝ่ายเบี่ยงตาหลบไปทำให้เขาต้องยอมผ่อนแรงที่กำรอบข้อมือนั้นออก แต่ก็ยังคงตัดใจปล่อยไปไม่ลง

 

มันอาจจะใช้เวลาเพียงเสี้ยววินาที แต่เขากลับรู้สึกนานเหมือนทั้งชีวิต เมื่ออีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นประกายสีเขียวในดวงตาใสซื่อคู่นั้นคือสิ่งสุดท้ายที่เขาจำได้ มันคล้ายกำลังอ้อนวอนขอให้เขาย่ำยี

 

แผ่นหลังของอีกฝ่ายถูกกระแทกเข้ากับผนังห้องน้ำด้วยความรีบร้อน เขาเอื้อมมือไปดึงรั้งเอวสอบเข้ามาหาตัว มือใหญ่บีบนวดเค้นไปตามสะโพก ลากยาวลงไปจนถึงบั้นท้าย ขณะที่คนตรงหน้าเพียงเอื้อมแขนมาวางบนไหล่กว้างเพื่อสางผมยาวสีเพลิงของเขาเบา ๆ

 

ฮือ..

 

เขาได้ยินเสียงครางของอีกฝ่ายแผ่วเบาเมื่อเราแตะจูบลงบนริมฝีปากของกันและกัน ค่อย ๆ ไล่ลิ้นชิมรสชาติกันอย่างเชื่องช้า กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของเหล้าจิน และ รสเปรี้ยวหวานของน้ำผึ้งมะนาวดึงเอาสติของเขาให้ละลายหายไปในอากาศ มันเริ่มรุนแรงขึ้นเมื่ออีกฝ่ายเปิดทางให้เขารุกเข้าไปตักตวงความหอมหวานภายใน

 

เมื่ออีกฝ่ายเริ่มขบกัดที่ลิ้นเขาเบา ๆ พร้อมกับแรงกระตุกจากปลายเส้นผมยาว สัญญาณของแรงประท้วง ทำให้เขาจำต้องยอมผละออกมาจากริมฝีปากนุ่ม พรมจูบไปตามสันกราม ลากผ่านต้นคอไปจนถึงไหปลาร้า เขาเอื้อมมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตสีขาวที่แสนแกะกะได้เพียงสองเม็ด มือของอีกคนก็เอื้อมมาจับไว้

 

“ไม่เอา ไม่ถอด”

 

ทารคาสบมองดวงตาสีเขียวมรกตตรงหน้า แปลกใจที่มันยังคงเป็นสีเขียวสว่างเมื่ออยู่ภายใต้แสงไฟสีชมพูแบบนี้  เขาขมวดคิ้วแสร้งทำเป็นว่าไม่พอใจทีโดนขัด เห็นดังนั้นอีกฝ่ายจึงรั้งตัวเขาเข้าหา แตะจูบที่ปลายคางเขาแผ่วเบาคล้ายปลอบใจ

 

“นะ…”

 

เขาปลดเข็มขัดแล้วดึงกางเกงอีกฝ่ายออกแทนคำตอบ

 

 

 

____

 

 

 

“อ่ะ เฮียมีสาวฝากมาให้จ่ะ” อ๊อดวางถุงขนมลงกลางโต๊ะ หยิบช็อกโกแลตขึ้นมากินอย่างถือวิสาสะ เขารู้ดีว่าเจ้าของขนมไม่ใส่ใจนักหรอก

 

“เดี๋ยวมึงมีกล่าวต้อนรับนิสิตใหม่ตอนบ่าย ซ้อมพูดรึยัง” ทารคาเงยหน้าขึ้นจากเอกสารกองใหญ่บนโต๊ะ หยิบขนมขึ้นมาดูสองสามชิ้นแล้วโยนมันกลับลงในถุงตามเดิม

 

“โห นี่เดือนมหาลัย หรือ ทาสมหาลัยถามจริง ใช้งานโคตรคุ้มเลยจ่ะพี่จ๋า”

 

“อย่าบ่น ตอนปี2กูก็ได้ทำ”

 

อ๊อดเบะปาก ก่อนยัดขนมเข้าปากคำโต

 

“คืนนี้ใครไปบ้าง” ไชยว่าพลางจิ้มโทรศัพท์ไปพลาง “มี หงา ฟง บาก เสี่ยวหลาน”

 

“อ๋ม! อ๋ม!!” (ผม ผม) อ๊อดส่งเสียงอู้อี้ขณะพยายามเคี้ยวขนมในปาก พร้อมกับชูมือโบกไปมาเหมือนเด็กเล็ก ๆ

 

“กู” ทารคาตอบรับ เอนพิงพนักเก้าอี้ ขณะที่ในมือกดดูรูปถ่ายในกล้องที่เขาถ่ายทิ้งไว้

 

“ไปกินเหล้าหรือไปกินอะไรจ๊ะ” อ๊อดส่งสายตาเจ้าเล่ห์

 

“เสือก”

 

“นี่น้องอ๊อดเองงงง”

 

“เออ ครั้งที่แล้วอยู่ ๆ แม่งก็หายหัวเลยนะ” ไชยหรี่ตาจ้องจับผิด “ค่าลงค่าเหล้ากูก็ต้องมาออกให้ก่อน”

 

“กูก็จ่ายให้แล้วนี่”

“อย่ามาเฉไฉ”

 

“อะไรวะ”

 

“มึง-ไป-ไหน-มา”

 

 

 

____

 

 

 

“อย่ากลั้นเสียง”

 

ทารคาเอ่ยชิดกับใบหูร้อน เมื่ออีกฝ่ายยังคงดื้อดึง เขาจึงเอื้อมมือขึ้นไปขย้ำเส้นไหมสีขาวนุ่มพลันดึงเอาศีรษะเอนลงมาตามแรงขย้ำ ไม่ทันให้อีกฝ่ายได้ตั้งตัวเขากระโจนเข้าครอบครองริมฝีปากนุ่มอีกครั้ง ลิ้นร้อนค่อย ๆ เคลื่อนชิมไปช้า ๆ นุ่มนวล ก่อนจะฝังเขี้ยวกัดลงจนได้รสคาวเลือดในปาก

 

ฮื่อ..!

 

แล้วคนดื้อตรงหน้าก็ไม่ขัดใจเขาอีก แม้จะแผ่วเบาไปบ้างแต่เสียงครางพึงพอใจของอีกฝ่ายยังคงดังคลอเคล้าข้างหูของเขาจนวินาทีสุดท้าย

 

ทารคาจัดเสื้อผ้าให้เข้าที่ เอนหลังพิงกำแพงอีกด้านขณะยืนพิจารณาผลงานของตัวเองอย่างตั้งใจ กลุ่มผมสีขาวที่เคยถูกเซ็ตตัวอย่างดี ในตอนนี้กลับยุ่งเหยิงคล้ายคนเพิ่งตื่นนอน เสื้อเชิ้ตสีขาวที่เคยเรียบร้อยของอีกคนยับยู่ยี่ แถมยังเปียกชื้นไปหลายจุดจนต้องใช้เสื้อแขนยาวมาคลุมทับอีกที เขายกยิ้ม อีกฝ่ายนั่นแหละที่ผิด ดื้อดึงจะใส่เสื้อไว้เอง แม้ไม่อาจเห็นได้ว่าบนผิวแทนนั้นมีรอยมากแค่ไหน แต่เขาก็แน่ใจว่ามันคงจะประทับอยู่บนร่างนั้นได้นานหลายวัน

 

ครืด … ครืดด..

 

เจ้าของเรือนผมสีขาวสะบัดหัวไปมา สองมือควานหาที่มาของเสียงไปทั่ว ทารคาเอื้อมไปหยิบโทรศัพท์เครื่องสีดำที่สั่นอยู่บนพื้นใกล้ถังขยะขึ้นมายื่นให้อีกฝ่าย

 

“ฮัลโหล”

 

“‘โทษที กำลังจะกลับ”

 

“พอดีหิวอ่ะ เลยออกมาหาอะไรกิน”

 

“โอเค บาย”

 

เมื่อเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋ากางเกง ดวงตาสีมรกตจึงตวัดกลับมามองเขา ใบหน้าอิดโรยฉายแววสงสัยก่อนเอ่ยถาม

 

“ยิ้มอะไร”

 

“อยากกินของหวานต่อไหม?”

 

เขากระซิบ

 

 

 

____

 

 

 

“มึง-ไป-ไหน-มา”

 

“หิว เลยไปหาอะไรกิน”

 

“ให้มันจริงงง” ไชยลากเสียงยาว ทำหน้ายียวนใส่เพื่อนสนิท โดยมีเสียงหัวเราะเอิ๊กอ๊ากของอ๊อดอยู่ห่างออกไปไม่ไกล

 

“ขอโทษครับ ผมจะไปห้อง 4503”

ทารคาชี้นิ้วไปด้านหลัง ส่งสัญญาณให้อ๊อดไปรับหน้าแทน วันนี้เขาทนอยู่หน้าเคาท์เตอร์และรับมือกับนิสิตใหม่ที่มาถามทางมากพอแล้ว

 

“ไปที่อาคาร 4 ชั้น 5 ห้อง 3 นะจ๊ะ”

 

“ครับ ผมมาถ่ายรูปนักศึกษา แต่ไปห้องนั้นแล้วไม่เห็นใคร”

 

ทารคาหันกลับไปด้านหลัง กำลังจะแจ้งเรื่องย้ายห้องถ่ายรูปนักศึกษาให้ทราบ แต่แล้วคนตรงหน้าก็ทำเอาใจเขาสั่นระรัว เส้นผมสีสว่างที่เขารู้ดีว่ามันนุ่มลื่นแค่ไหน ผิวสีแทนสวยที่เขาเคยกัดผ่านเสื้อเชิ้ตตัวบาง เป็นสิ่งที่เขาจินตนาการถึงอยู่ทุกคืน บนริมฝีปากนุ่มที่เขาเรียกร้องจะชิมมันทุก 5 นาที ปรากฎรอยแผลเล็กที่มุมปาก เขาแน่ใจว่าหากเอาฟันของเขาเข้าทาบทับ มันจะต้องตรงกับรอยนั่นได้พอดี และประกายสีเขียวมรกตภายในดวงตานั่น ยังคงอ้อนวอนต่อเขาอยู่เช่นเคย

 

อีกฝ่ายอยู่ตรงนั้น

 

ในชุดนิสิตใหม่ ติดกระดุมจนถึงคอ เสื้อเชิ้ตสีขาวเรียบร้อย และเนคไทสีน้ำเงินสลับแดงที่น่ากระชากทิ้ง

 

“อ๋อ อาจารย์ให้ย้ายไปที่สาขาถ่ายภาพแล้ว ห้อง 3604 มา ๆ เดี๋ยวพี่อ๊อดพาไปนะจ๊ะ”

 

“อ๊อด มึงไปท่องสคริปท์ต้อนรับนิสิตใหม่ไป” ทารคาว่าขณะลุกขึ้นยืน มือใหญ่ยกสายกล้องถ่ายรูปมาคล้องคอ

 

“เดี๋ยวอ๊อดพาน้องไปส่งก่อนค่อยกลับมาท่องก็ได้จ่ะเฮีย”

 

“ไม่ต้อง” เขาว่าขณะเดินเข้าไปหาร่างทั้งสอง จ้องมองดวงตาสีเขียวมรกตที่ยังคงนิ่งค้างไม่ละสายตา

 

“เดี๋ยวกูพาไปเอง”

 

 

 

____

 

 

 

“อยากกินของหวานต่อไหม?”

 

เขากระซิบ

 

อีกฝ่ายยกยิ้ม

 

“ของโปรดเลย”

 

 

 

____

 

 

 

End.

 

 

 

 

 

 

[os : dead by daylight] where is jake? (the shape/jake park)

 

Title: where is jake?

Pairing: the shape/jake park (Michael Myers/jake park)

 


ช่างเป็นคืนที่ราบรื่นสำหรับพวกเขา

ผู้รอดชีวิตทั้งสามคนกำลังง่วนอยู่กับการซ่อมเครื่องปั่นไฟ นี่เป็นเครื่องที่สามแล้วแต่ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของตัวคิลเลอร์ ไม่ว่าพวกเขาจะเดินจะวิ่งไปทางไหน เสียงหัวใจก็ไม่ยักกะดังเลยสักนิด

หากแต่ว่าไม่ใช่เพียงคิลเลอร์เท่านั้น เพื่อนของเขาคนหนึ่งก็หายไปเหมือนกัน ตามปกติแล้วก็ไม่ได้เป็นเรื่องแปลกอะไรนัก ‘เจค’ มักจะหายไปปลดฮุก หรือ ทำลายกับดักคนเดียวอยู่แล้ว ระหว่างทางที่พวกเขาผ่าน มีบางที่รอยเลือดบนพื้นยังไม่แห้งดี และพวกเขาสามคนไม่มีใครบาดเจ็บ นั่นทำให้มั่นใจในทันทีว่าเป็นเลือดของเจคแน่ๆ แต่ก็ไม่ยักกะได้ยินเสียงกรีดร้องเหมือนโดนแขวน

อย่างไรก็ตาม หากในตอนี้เจคกำลังล่อฆ่าตกรเพื่อให้พวกเขาซ่อมเครื่องปั่นไฟอยู่ล่ะก็ มันก็เป็นการล่อที่ยาวนานเอาเสียมากๆ

 

_

 

เจค เม้มริมฝีปากแน่น ไอ้นิสัยเดิมๆที่ไม่ยอมให้มีเสียงใดๆเล็ดลอดออกมาจากลำคอแม้จะบาดเจ็บหนักมันแก้ไม่หาย แต่กระนั้นก็ไม่อาจหยุดลมหายใจหอบหนักๆของตนได้ มือของเขาที่ถูกมีดปักคาไว้กับโต๊ะมันเจ็บจนชาไปแล้ว เสียงหัวใจเขาเต้นระรัว ไม่รู้เลยว่ามันเต้นด้วยความหวาดกลัวหรือเพราะอย่างใด

เสียงเปียโนกังวานอยู่ในหัวซ้ำไปมาจนมึนงงไปหมด รู้สึกโหวงๆบอกไม่ถูก เมื่อ ‘ไมเคิล’ ถอนกายออกไป ความหนาวเย็นแล่นเข้ามาแทนที่ความร้อนระอุเมื่อสักครู่

เจคพยายามยึดเกาะโต๊ะไว้เมื่อขาของเขาพยุงร่างกายต่อไปไม่ไหว ตาสีเข้มหลับลง พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่คิดว่าในตอนนี้เขาอยู่ในสภาพน่าอายเพียงใด กางเกงเขาถูกถอดลงจนถึงข้อเท้า ของเหลวที่ถูกปล่อยทิ้งค้างไว้ภายในร่างกายไหลลงไปตามง่ามขา นั่นทำให้รู้สึกเหนอะหนะไปหมด เสื้อตัวหนาของเขาถูกเลิกขึ้นจนถึงหน้าอก หลายครั้งที่เขาพยายามดึงมันลง แต่ก็ดูเหมือนมันจะไปขัดกับความต้องการของอีกคนหนึ่ง จนเขาต้องเลิกล้มความตั้งใจไป

 

บรรยากาศรอบๆตัวนั้นช่างสงบเงียบ ราวกับไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆหลงเหลืออยู่อีกแล้ว ก็เกือบจะไม่ล่ะนะ เพราะหากไม่มีมือเย็นๆที่พยายามแต่งตัวให้เขาอยู่ เจคก็แน่ใจได้เลยว่าคงถูกปล่อยทิ้งให้อยู่ในสภาพอุจาดตาแบบนี้เสียแล้ว ขนาดตอนที่เขากำลังถูกทำเรื่องน่าอายนั่นอยู่ เขายังไม่ได้ยินเสียงของไมเคิลหลุดลอดออกมาเลยสักนิด จะมีก็แต่เสียงลมหายใจร้อนๆที่บริเวณหลังใบหูของเขาเท่านั้น

ช่างเป็นคนขี้อายเสียจริง

 

กริ๊ก!

 

เสียงเครื่องปั่นไฟทำงานอีกครั้ง มันอยู่อีกฟากหนึ่งของแมพ

 

เจคพยายามลืมตาขึ้น มันพร่ามัวและเปียกชื้น เขากำลังร้องไห้ เป็นความจริงที่ไม่อยากยอมรับ และอีกหนึ่งความจริงก็คือ เขาไม่เหลือเรี่ยวแรงอีกต่อไปแล้ว

ก่อนที่เจคจะล้มลงไปกองกับพื้นและกระชากเอามือที่ถูกมีดยึดไว้ออกมานั้น มือขาวซีดของอีกคนก็ยึดร่างกายอ่อนเพลียนั้นได้ทันเวลา

มันดึงมีดออกจากมือเขา ง้างขึ้นเช่นที่เคยทำทุกครั้งขณะกำลังจะสังหาร ส่วนอีกมือหนึ่งยึดต้นคอเขาไว้กับโต๊ะ

เจคครางอืออึงในลำคอ แสยะยิ้มรับให้กับตัวเองด้วยความสมเพช

 

ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าชีวิตนี้จะถูกฟันแล้วทิ้ง

 

_

 

ปัง!

 

“บ้าชิบ!”

ใครคนหนึ่งสบถขึ้นมา พวกเขาเกือบจะซ่อมเครื่องที่สี่เสร็จอยู่แล้วเชียว แต่ถึงอย่างนั้นทั้งสามคนก็ยังคงซ่อมเครื่องเดิมต่อไป พวกเขาไม่ได้กลิ่นอายสังหารเลยแม้แต่น้อย เสียงหัวใจก็ยังคงปกติ

ปลอดภัย ปลอดภั-

“อ๊ากกกกก!!!!”

เสียงเปียโนดังขึ้นในโสตประสาท หัวใจเต้นถี่ราวกับจะหลุดออกมานอกอก หนึ่งในพวกเขานอนลงไปแล้ว

พระเจ้า! พระเจ้า!!

มันวิ่งเร็วเป็นบ้า เขาส่งสัญญาณให้อีกคนหนึ่งทำอะไรสักอย่าง เป็นแบบนี้เราต้องตายแน่ อีกอย่างไอ้เสียงเพลงเฮงซวยนี่ก็หลอนประสาทชะมัด เขาหันกลับไปมองทางที่เพื่อนล้มนอนอยู่ เจ้านั่นกำลังพยายามคลานมาหาเขา

แม่งเอ้ย! อย่าคลานมาทางนี้ เดี๋ยวมันก็รู้หรอก

“กรี๊ดดดด!!!!”

นอนลงไปอีกคนแล้ว มันอยู่ห่างออกไปไม่ไกลนักเขายังพอช่วยทัน ยังไงก็ต้องลองเสี่ยงดู

 

“อ๊ากก!!”

ขอโทษ ขอโทษ! แม่งเอ้ย! อย่าร้องสิวะ เสียงหัวใจเต้นถี่ยิบกับเสียงดนตรีนั่นทำเขาไม่มีสมาธิจนทำการรักษาให้เพื่อนพลาด ปากแผลฉีกขาดหนักยิ่งกว่าเดิม แต่ที่แย่กว่านั้น มันรู้แล้ว

อีกนิดเดียว จะเสร็จแล้ว นิดเดียว

“อ๊ากกก!!!!”

เลือดสีสดทะลักออกกลางหลังของเขา มีดของมันแทงลงมาก่อนที่เขาจะทันรักษาเพื่อนเสร็จ มันจับคนหนึ่งแขวนไปแล้ว กำลังอุ้มคนที่เขารักษาไม่ทันนั่นไปแขวนอีกฮุกที่อยู่ใกล้กัน และหากเขาโดนฟันอีกครั้งโอกาสรอดไม่เหลือแน่

ห่าเอ๊ย!

เขาวิ่งหนีออกมาจากตรงนั้นพยายามมองหากล่องตามพื้น บางทีเขาอาจโชคดีเจอกล่องพยาบาล แต่นี่เขาก็วิ่งมาครึ่งแมพแล้ว กล่องอื่นๆก็ถูกเปิดไปจนหมด จะเหลือก็แต่ห้องใต้ดิน แต่ในเวลาแบบนี้ใครมันจะเสี่ยงลงไปในห้องเวรนั่นกันเล่า

นั่นมัน

เขาหยุดวิ่ง ห่างไปไม่ไกลตรงนั้น เขาเห็นบางอย่างตรงพงหญ้า บางอย่างที่จะทำให้เขามีชีวิตรอด

 

ทางลับ

นี่เป็นหนทางเดียวที่เขาจะมีชีวิตรอด เขาย่อตัวรอฟังเสียงกรีดร้องที่เกิดจากการถูกขาแมงมุมที่ฮุกนั่นสังหาร

เขาต้องรอด

 

“อ๊ากกกก!!!!”

 

เขาต้องรอด

 

“กรี๊ดดดดดดดดด!!!!”

สำเร็จ! สำเสร็จ!! ในที่สุดเขาก็รอ-

 

ฉวะ!

 

เขาล้มลงไปนาบกับท่อนั่น เลือดสีแดงสดๆไหลเยอะขึ้นกว่าเดิม เขาไม่มีแรงแม้แต่จะดิ้น มันแขวนเขาไว้กับฮุกใกล้ๆท่อนั่น เสียงเปียโนใสกังวานไปทั่วบริเวณราวกับกำลังเยาะเย้ย เขาจ้องมองทางรอดสุดท้ายของตัวเองอย่างสิ้นหวัง เขาพยายามยื้อขาแมงมุม ขณะจ้องมองท่อที่ไม่ยอมเปิดออกด้วยความสงสัย มีบางอย่างที่เขาลืมไป

 

จริงสิ

 

เจคอยู่ไหน?

 


 

แอร๊~~~~~ เราชอบไมเคิลมากๆเลยค่ะ และชอบเจคมากๆด้วย อดใจไม่ไหวจริงๆ มันมีให้เสพน้อยเหลือเกิน ใครเมนเจค หรือชอบเจคคิวท์ๆ ก็มาแบ่งปันโมเม้นกันนะคะ

[os : funny games] kiss (paul/peter)

271e2de0d4775ab7086f2949c6a6b27c

Title: kiss

Pairing: paul/peter

Note:  ระวังสั้น 


ปีเตอร์ลอบมองโครงใบหน้าด้านข้างของพอลเป็นระยะ เขาต่อบทสนทนาทีเล่นทีจริงกับพอลเพื่อปั่นประสาทผู้เล่นเกม เขาไม่ค่อยเข้าใจเรื่องความรู้สึกหรืออารมณ์อะไรนัก แต่ก็บอกได้อย่างตรงไปตรงมาเลยล่ะว่าเขาชอบที่จะมองพอล

ไม่ว่าพอลจะอยู่ในอารมณ์ไหนก็ตาม

“แม่งเอ้ย! มีมารยาทกันหน่อยสิ! เหลือจะทนแล้วนะ” พอลตะโกนขึ้นมาอย่างเหลืออด แต่กระนั้นปีเตอร์ก็ยังชอบทุกสิ่งที่พอลแสดงออกมาอยู่ดี

“กี่โมงแล้ว”
ปีเตอร์ต้องบอกตัวเองให้หยุดมองรอยยิ้มมุมปากของพอลแล้วก้มดูนาฬิกาแทน

“อีกสิบนาทีตีสอง”

พอลเอนหัวพิงกับโซฟา คล้ายกับท่าทางของพนักงานเงินเดือนที่เพิ่งเลิกงาน ปีเตอร์เอนหัวพิงตาม ขยับเข้าไปใกล้ๆ มากพอให้ได้ยินเสียงลมหายใจหนักๆที่ลากยาว ต้องขอบอกเลยว่า แม้แต่ลมหายใจของพอลก็ยังน่าหลงใหล

พอลหันหน้ามาทางปีเตอร์ คิ้วเลิกขึ้นน้อยๆเมื่อพบว่าใบหน้าของปีเตอร์อยู่ใกล้กันพอสมควร แต่กระนั้นก็ไม่ได้ผละกายจากไป หรือกล่าวว่าสิ่งใด

ปีเตอร์ไม่รู้ว่าอะไรชัดเจนกว่ากันระกว่างดวงตาสีฟ้าใสที่เขากำลังสบมองอยู่ หรือสัมผัสแผ่วเบาจากพอล เขาทำแค่กระพริบตาปริบปริบ ตอนที่พอลเอื้อมมือมาแตะบริเวณขมับที่โดนผู้เล่นเกมกระแทก มันบวมและช้ำเล็กน้อย

“เจ็บไหม?”

ปีเตอร์ได้ยินเสียง อ่อนโยนเสียจนเขาเองก็ยังไม่แน่ใจว่าเสียงนั้นออกมาจากปากของพอล ปาก…ของพอล…รสชาติเป็นยังไงนะ

ไม่ใช่ว่าเขาอยากจะจูบคนไปทั่วหรอกนะ อันที่จริงเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะจูบไปทำไม แต่กับพอล เขาก็แค่รู้สึกอยาก ไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย แล้วการจูบนี่ต้องทำยังไงเขาก็ไม่รู้ ก็เคยเห็นในหนังอยู่หรอกแต่ก็ยังไม่เข้าใจเท่าไหร่

ถ้าเป็นพอล คงเคยจูบมาแล้ว รวมถึงเซ็กส์ด้วย เขาไม่เคยเห็นหรอกแต่แน่ใจว่าพอลคงจะมีประสบการณ์ อย่างน้อยก็มากกว่าเขานั่นแหละ ผู้หญิงแบบไหนนะที่ได้จูบกับพอล ไม่อยากพูดเลย แต่น่าอิจฉาชะมัด

“ไอ้บ้าเอ้ย! ทำอะไรของแกวะ!!”

ปีเตอร์มีสติอีกครั้งตอนที่พอลผลักเขาออก เดี๋ยวนะเขาทำอะไร…เขา…โอ้…แย่ล่ะ…

เขาจูบพอลไปแล้ว

รสชาติเป็นอย่างไรนั้นเขาก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน ไม่รู้สิ เขาไม่ทันตั้งตัว

ปีเตอร์รีบขดตัวแนบไปกับโซฟาเมื่อเห็นพอลเอื้อมมือมาตีเขา มันไม่แรงอย่างที่คิด เขาพร่ำขอโทษตะกุกตะกักอย่างคนติดอ่าง

“นายทำอย่างนั้นทำไมวะ”

ปีเตอร์มองพอลกระแทกหลังกับโซฟาอย่างแรง ใบหน้ายังคงดูหงุดหงิด แต่กระนั้นปีเตอร์ก็ค่อยๆลดการป้องกันตัวลง

“ไม่รู้เหมือนกัน”

“หมายความว่าไงวะ นายไม่รู้ นายเพิ่งจูบฉันนะ”

ปีเตอร์เห็นด้วยกับที่พอลพูด แต่ถึงอย่างไรความจริงนั้นก็คือ เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกัน

“แค่…อยากลองดู”

ปีเตอร์ไม่ได้โกหก เขาสบตากับพอล สังเกตุท่าทีของพอลที่หายใจแรง หลับตาลงนวดหว่างคิ้ว และครางต่ำเบาๆคล้ายหงุดหงิดใจ

ปีเตอร์ก้มมองพื้นแทน เขากำลังสับสน เขาไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงทำลงไป ทุกครั้งเขาเพียงแค่คิดแต่ไม่เคยลองทำ ไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ ถึงควบคุมร่างกายตัวเองไม่ได้

ปีเตอร์สะดุ้งตกใจเตรียมยกมือขึ้นป้องกัน เมื่อถูกพอลดึงแขนให้เข้าไปไกล้ แต่นั่นสายไปแล้ว พอลบีบคางเขาให้เคลื่อนหน้าเข้าหา แนบริมฝีปากทาบกับเขาไว้ ไรซึ่งการลุกล้ำใดๆหลังจากนั้น ก่อนที่จะผละออกพอลไล้เลียไปตามกลีบปากของปีเตอร์จนฉ่ำน้ำ เมื่อเห็นว่าปีเตอร์ยังคงนิ่งค้างไม่ยอมขยับหรือแม่แต่กระพริบตา เขาจึงแนบริมฝีปากเข้าประทับจูบเบาๆให้อีกครั้ง

“น..นายทำแบบนี้ทำไม” ปีเตอร์เอ่ยเสียงพร่า ไม่รู้ทำไมเขาถึงได้ยินเสียงตัวเองเบาหวิวราวกับอากาศ

พอลยักไหล่ ยังคงสบมองดวงตาตื่นตระหนกของปีเตอร์

“แค่อยาก”

โอ้…

ปีเตอร์ช็อคไปแล้ว

fin


ตอนดูหนังจบนี่ก็หมั่นแรงมาก ลุ้นมาแทบตายเอาแบบนี้เลยนะ

แต่ก็บอกเลยว่าชอบปีเตอร์มากกก ฮืออ คนอะไรน่ารักจริงจัง

ชอบที่หน้าตาได้ใสซื่อตลอดเวลา ถึงกับต้องมาดูวนซ้ำเพราะปีเตอร์เลยแหละ

ฮอลลลล

[Fanfic : FBWFT]Mister oatmeal cookie. (credence/graves)

Title: Mister oatmeal cookie.

Pairing: credence barebone/percival graves

Note:  ค่อยๆแจวกันเนาะ


 

ในวันที่ฝนตกหนักเมื่อสองปีที่แล้ว เด็กที่ไปส่งของที่บ้าน มิสเตอร์ คุกกี้โอ๊ต กลับมาด้วยสภาพเปียกปอน ขังตัวเองอยู่ในห้องคนเดียว พวกเพื่อนๆจึงได้ไปตามเมื่อเห็นว่าใกล้ถึงเวลามื้อเย็นแล้ว สภาพที่พบคือเขานอนหอบอยู่บนเตียงอย่างหนัก ตัวสั่น ไข้ขึ้นสูง ข้างๆมีถุงคุกกี้ข้าวโอ๊ตถุงนึงที่ถูกแกะแล้ว หลังจากที่เด็กคนนี้ถูกพาตัวออกจากบ้านไป ก็ไม่เคยมีใครเห็นเขาอีกเลย

พวกเด็กโตเชื่อว่าเด็กคนนี้เกิดหิวขึ้นมาระหว่างทางที่กำลังจะไปส่งของที่บ้าน มิสเตอร์ คุกกี้โอ๊ต เขาได้แอบขโมยกินคุกกี้! แม้จะกินไปเพียงชิ้นเดียว อย่างไรเสีย มิสเตอร์ คุกกี้โอ๊ต ก็เกิดรู้ตัวขึ้นมา จึงคืนคุกกี้มาทั้งถุง เขากลับมาในห้องกินคุกกี้ข้าวโอ๊ต ลงท้อง อย่างมูมมาม จนเกิดอาการดังกล่าว ดังนั้น พวกเด็กโตจึงสร้างกฎต้องห้ามของการไปส่งของที่บ้าน มิสเตอร์คุกกี้โอ๊ต ขึ้นมา

 

………………

 

“เครเดนซ์ ส่งที่บ้าน มิสเตอร์ เกรฟส์ 2 ถุง สุภาพหน่อยล่ะ”
เด็กหนุ่มแอบลอบเบ้ปากโดยไม่ให้ผู้เป็นแม่เห็น พระเจ้า นี่เอาจริงใช่ไหม มองดูข้างนอกนั่นสิ พายุหิมะกำลังเข้า และเขาต้องออกไปส่งคุกกี้ 2 ถุง ถ้าเขาได้รับการร้องเรียนเรื่องส่งของช้าและไม่กลับมาที่บ้านเด็กกำพร้าก็บอกได้เลยว่าเขาคงเป็นไอติมแช่แข็งอยู่ที่ใดที่หนึ่งระหว่างทางส่งของไปแล้ว

 

เมื่อสองเดือนก่อนเขามีโอกาสได้ส่งของให้กับมิสเตอร์ เกรฟส์ เป็นครั้งแรก และวันต่อมาก็มีจดหมายร้องเรียนส่งมาที่บ้านเด็กกำพร้าเพื่อบอกผู้ดูแลว่าเขาชักสีหน้าไม่พอใจใส่เมื่อ มิสเตอร์ เกรฟส์ กล่าวว่าตนได้รับคุกกี้ช็อคชิพ ทั้งๆที่ควรจะเป็นคุกกี้ข้าวโอ๊ต

และนั่นทำให้เขาต้องสบถทุกครั้งที่พบคุกกี้ข้าวโอ๊ตในจานของว่างของเขา ว่า

เขาโคตรเกลียดคุกกี้ข้าวโอ๊ตเลยโว้ย…

 

เครเดนซ์กระชับถุงคุกกี้ในมือโดยไม่ลืมผ่อนแรงเพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายต่อสินค้า ขายาวๆย่ำไปตามกองหิมะหนาๆ ขอบอกเลยนะ คนสติดีที่ไหนที่จะให้เด็กกำพร้าน่าสงสารออกมาเดินส่งของในวันพายุหิมะเข้าแบบนี้บ้าง เขาสอดสายตาไปตามร้านข้างทางที่ตาลีตาลานพากันปิดร้านหนีพายุไปเป็นแถบ รวมถึงร้านขายขนมปังร้านโปรดของเหล่าเด็กกำพร้าด้วย ดูท่าเขาต้องรีบกลับมาให้ทันเวลาก่อนที่ขนมปังเหลือทิ้งในถังขยะหลังร้านจะถูกหิมะแช่แข็งเป็นก้อนหินไปเสียก่อน คิดได้ดังนั้น เด็กหนุ่มตัดสินใจกัดฟันทนความหนาวเย็นของสภาพอากาศแล้วเร่งฝีเท้าขึ้น

 

ที่บ้านเด็กกำพร้านี้มีการกดขี่ ทารุณกรรมเด็กบ่อยครั้ง เครเดนซ์ขอเอาทรงผมบนหัวเป็นประกันได้เลย เขาอยู่ในบ้านเด็กกำพร้ามานาน หาเลี้ยงชีพโดยการขายคุกกี้และแจกใบปลิวไปตามบ้าน บางครั้งก็มีการสั่งเข้ามาจากขาประจำที่ส่วนใหญ่จะเป็นคุณยายแก่ใจดี หรือไม่ก็พวกชอบทำการกุศล

มิสเตอร์ เกรฟส์ ไม่ใช่ทั้งสองอย่าง เขาเป็นตำนานสยองของบ้านเด็กกำพร้าตั้งแต่เมื่อสองปีที่แล้ว สมัยที่ เครเดนซ์ยังเป็นเด็กเล็กอยู่ ว่ากันว่าก่อนเข้านอนใครมันงุบงิบขโมยคุกกี้ไปกินตอนดึกๆ เช้าต่อมาจะมีชื่อ มิสเตอร์ เกรฟส์ ปรากฏอยู่บนใบส่งของของตัวเอง

เครเดนซ์ไม่รู้ว่าใครเป็นคนเริ่มอาถรรพ์บ้าๆนี้เป็นคนแรก แต่ที่แน่ๆการที่คนคนนั้นบังเอิญไปขายคุกกี้ที่บ้าน มิสเตอร์ เกรฟส์ จนเขาเกิดติดใจขึ้นมา ก็ทำให้บ้านเด็กกำพร้ามีสีสันขึ้นมาจากการที่ รับใบรายชื่อที่ต้องส่งของในแต่ละวัน ทุกคนทำเหมือนกันคือการไล่นิ้วหารายชื่อของ มิสเตอร์ เกรฟส์ เป็นอันดับแรก และ เครเดนซ์ก็แน่ใจว่าได้ยินเสียงโห่ร้องเบาๆว่า ‘ขอบคุณพระเจ้า’ มากกว่าสิบครั้ง

มิสเตอร์ เกรฟส์ ไม่กินคุกกี้รสอื่นนอกจากคุกกี้ข้าวโอ๊ต พวกเด็กโตมักจะแอบเรียกมิสเตอร์ เกรฟส์ อย่างลับๆว่า มิสเตอร์ คุกกี้โอ๊ต เพื่อปลอบขวัญกันเอง ซึ่งเครเดนซ์ ขอยืนยันได้ว่านั่นไม่ได้ช่วยอะไรเท่าไหร่

 

ไม่อยากเชื่อว่าเขายังมีชีวิตอยู่ ตอนนี้เครเดนซ์ มองไม่เห็นอะไรแล้วนอกจากสีขาวของหิมะ แต่กระนั้นเขาก็ยังคงจำทางที่จะไปบ้าน มิสเตอร์ เกรฟส์ ได้อย่างแม่นยำ นึกไม่ออกเลยว่า การที่เขายอมโดนแม่ตีแล้วกลับไปซุกที่นอนเย็นๆ กับการออกมาเดินฝ่าพายุหิมะเสี่ยงตาย อะไรจะดีกว่ากัน

เครเดนซ์หรี่ตามองประตูบ้านสีดำข้างหน้า อีกนิดเดียว… จะว่าไปเคยมีเรื่องเล่าว่า ช่วงฤดูฝน หลังจากที่เด็กคนหนึ่งส่งของให้มิสเตอร์ คุกกี้โอ๊ต เสร็จก็วิ่งกลับมาที่บ้านร้องไห้ฟูมฟาย แล้วคืนนั้นก็ไข้ขึ้น ลือกันว่าเพราะเด็กคนนั้นไปสบตากับมิสเตอร์ คุกกี้โอ๊ต เข้า

เครเดนซ์ไม่เคยส่งของให้มิสเตอร์ เกรฟ ในช่วงฤดูฝน อันที่จริงเขาเคยส่งของให้เพียงครั้งเดียว และเป็นครั้งเดียวที่ไม่ค่อยน่าจดจำเท่าไหร่

 

เขา-ไม่-ผิด

เจ้าเด็กใหม่ที่เพิ่งมาอยู่เป็นคนจัดของลงถุงตามรายการต่างหากที่เป็นคนผิด แถมมิสเตอร์ เกรฟส์ ยังยัดคุกกี้คืนมาใส่มือเขาจนของพังเสียหายอีกเขาคงจะปั้นหน้ายิ้มได้อยู่หรอก

เงินก็ไม่ได้ ลูกค้าก็ไม่พอใจ แถมของที่คืนมายังยับเยินขายต่อไม่ได้อีก บอกได้เลยว่าครั้งนี้เขาหมดข้อแก้ตัวใดๆ เครเดนซ์กลับไปขังตัวเองในห้องนอน ฟุบหน้าลงกับที่นอนเก่าๆ กลิ่นอับชื้นที่คุ้นชินไม่ทำให้เขานึกรังเกียจ มือที่มีรอยริ้วของแผลสดเอื้อมไปหยิบคุกกี้ออกจากซองเข้าปาก

รสช็อคชิพอร่อยจะตาย

 

เครเดนซ์เอื้อมมือขาวซีดของตัวเองไปเคาะกับบานประตูสีดำสามครั้ง เขายืดหลังตรงสูดอากาศเย็นๆเข้าปอด สองมือพยายามสวมถุงมือขาดๆของตัวเองเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเขาไม่ควรประมาท บางทีเขาอาจเผลอสัมผัสตัวกับมิสเตอร์ คุกกี้โอ๊ต เข้า ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงมีหวังเขาโดนอาถรรพ์เข้าแน่ๆ  เขาหลับตาสูดหายใจเข้าลึกเต็มปอดยิ่งกว่าครั้งไหนๆ ใจเขาเต้นระรัวด้วยความหวาดหวั่นเมื่อเขาได้ยินเสียงฝีเท้าจากภายในบ้าน เขาลืมตาขึ้นเพื่อเตรียมพบกับมิสเตอร์ คุกกี้โอ๊ต ที่เด็กกำพร้าล่ำลือ แต่เขากลับเห็นเพียงสีขาวเท่านั้น เขาพยายามกะพริบตาหลายครั้ง จนกระทั่งเขารู้สึกเหมือนตัวเองกระแทกกับอะไรบางอย่างแล้วทุกอย่างก็มืดลงไป

 

เครเดนซ์ เพิ่งถูกเลื่อนมาเป็นเด็กโตเมื่อไม่นานมานี้ ในคืนหนึ่งเขาเล่นทอยเต๋ากับเพื่อนเด็กโต เพื่อพนันเอาก้อนขนมปัง เขาชนะ แต่กลับได้มาแค่กระดาษเก่าๆแผ่นเดียว เขาไม่มีสิทธิต่อรองเนื่องจากตำแหน่งเด็กโตหน้าใหม่มันค้ำคอ ในกระดาษแผ่นนั้นเขียนว่า

1.ห้ามสัมผัส

2.ห้ามสบตา

3.ห้ามกินของที่ถูกส่งคืน

รูมเมทของเขาบอกว่านี่เป็นกฎของเด็กโตรุ่นเก่าถูกเขียนก๊อบปี้ขึ้นมาเรื่อยๆเพราะหากผู้ดูแลพบเข้าจะนำไปเผาทิ้งและผู้ที่เขียนจะถูกลงโทษ

“ทำไมพวกนั้นถึงเอามาให้ฉันล่ะ” เครเดนซ์ว่า

“เพราะพวกเด็กโตจำได้ขึ้นใจกันหมดแล้วน่ะสิ เจ้าโง่”

“แล้วทำไมพวกผู้ดูแลถึงต้องเอาไปเผาทิ้งด้วยล่ะ” เครเดนซ์ถามอีกครั้ง รูมเมทของเขาเอียงตัวมาข้างหน้าสอดสายตาไปรอบห้องราวกับกลัวว่าจะมีใครมาแอบฟังพวกเขา

“เพราะมิสเตอร์ คุกกี้โอ๊ต ให้ราคาคุกกี้ได้สูงมากพอที่พวกผู้ดูแลจะอยู่อย่างสบายๆไปทั้งปี เพียงแค่ส่งคุกกี้ให้เขาครั้งละสองถุง”

เครเดนซ์ ก้มลงมองกระดาษเก่าๆในมือ เขาพอจะรู้ตำนานมิสเตอร์ คุกกี้โอ๊ต อยู่หรอก แต่เขาก็ยังแน่ใจว่าอยากได้ขนมปังมากกว่าเศษกระดาษอยู่ดี

 

เครเดนซ์ รู้สึกได้ถึงความอบอุ่น เสียงดัง เป๊าะแป๊ะ ของเปลวไฟจากเตาผิง ช่วยปลอบประโลมให้เขารู้สึกปลอดภัย เครเดนซ์กระพริบตาสองสามครั้งเขาเดาว่าตัวเองอยู่ในห้องที่ดูเหมือนจะเป็นห้องรับแขก คิดว่านะ เครเดนซ์ยันตัวลุกขึ้นบนโซฟาช้าๆ เสื้อโค้ท ตัวนอกกับรองเท้าเขาถูกถอดออกไป ผ้าห่มผืนหนาสีแดงเลือดหมูอยู่บนตัวเขาหล่นไปตามแรงโน้มถ่วง บนโต๊ะใกล้ๆมีนมอุ่นกับถุงคุกกี้รสข้าวโอ๊ตที่ถูกแกะแล้ว  หรือว่า…

“ตื่นแล้วหรอ”

ร่างที่นั่งอยู่บนเก้าอี้หน้าเตาผิงหันมามาเขา เครเดนซ์มองไม่เห็นใบหน้าของเจ้าของร่างนั้น และเขาแน่ใจว่าไม่อยากเห็นแน่ๆ

โอ้พระเจ้า! นี่เขาอยู่ในบ้านของมิสเตอร์ คุกกี้โอ๊ต!

‘บ้าเอ้ย ยัดความกลัวลงกระเป๋ากางเกงๆเน่าๆของนายซะเครเดนซ์ นายจะต้องไม่เป็นไร’ เครเดนซ์ปลอบขวัญตัวเองในใจดังๆ แต่คงดังไม่พอที่จะกลบเสียงฝีเท้าที่เดินใกล้เข้ามา

“เธอโอเคขึ้นหรือยัง?” เครเดนซ์สัมผัสได้ถึงความร้อนบนหน้าผากจากสัมผัสของอีกฝ่าย

‘พระเจ้า พระเจ้า พระเจ้า เขาแตะตัวผม!!’

“หลับตาทำไม? ลืมตาขึ้น” เสียงทุ้มราวกับกำลังออกคำสั่งนั้นทำให้เครเดนซ์ตกใจเผลอลืมตาขึ้นมาสบกับดวงตาสีเข้มของอีกคน

‘พระเจ้า พระเจ้า พระเจ้า ผมสบตากับเขาแล้ว!!……. ตาเขาสวยจัง..’

“ตัวไม่ร้อนนี่ ดูท่าจะดีขึ้นแล้ว เธอหลับไปนานเลย นี่ก็เย็นมากแล้ว รีบกินคุกกี้นั่นแล้วรีบกลับบ้านเถอะ” ชายหนุ่มละตัวออกไปเตรียมเสื้อโค้ทของเครเดนซ์ที่ถูกทำให้แห้งแล้ว

“ผมเอ่อ…ไม่เป็นไรครับ ผมว่าผมกลับเลยดีกว่า”

แค่นี้ก็ผิดกฎจนจะครบแล้ว เชื่อเลยว่าเขาต้องโดนอาถรรพ์นั่นแน่ๆ เครเดนซ์เลิกผ้าห่มสีแดงขึ้นพร้อมๆกับเสียงร้องจากท้องของเขาดังโครกครากลั่นห้อง

“ถ้าไม่เกรงใจกลัวเธอจะสำลักตาย ฉันคงยัดอาหารลงกระเพาะเธอตั้งแต่ตอนหลับแล้ว เสียงดังชะมัดเลย” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นเสียงเรียบเดินนำเสื้อโค้ดและรองเท้ามาวางให้เขาที่โซฟา

เครเดนซ์ก้มหน้าด้วยความกระดากอาย หยิบคุกกี้รสข้าวโอ๊ตเข้าปากพร้อมดื่มนมอุ่นๆตาม ไม่ปฏิเสธหรอกว่ามันอร่อยมาก

“คุณเกรฟส์ ชอบคุกกี้รสข้าวโอ๊ตหรอครับ” เครเดนซ์อยากตีปากตัวเอง อะไรคือการที่เรียกคนตรงหน้าว่าคุณเกรฟส์โดยไม่ได้ขออนุญาต ชายหนุ่มกระตุกยิ้มที่มุมปากเล็กน้อยก่อนนั่งลงบนเก้าอี้ห่างจากเขาไม่ไกลนัก ท่าทีสบายๆของชายหนุ่มทำให้เครเดนซ์ รู้สึกปลอดภัยนิดหน่อย อย่างน้อยเขาก็ยังไม่ได้รับอาถรรพ์ตอนนี้หรอก….มั้งนะ

“แล้วเธอไม่ชอบหรอ”

หลังจากที่ผมได้รับจดหมายร้องเรียนจากคุณผมก็เกลียดรสข้าวโอ๊ตมาตั้งแต่ตอนนั้นแหละครับ …แน่นอนว่าเครเดนซ์ไม่ได้พูดออกไป

“ก็…ไม่เชิงว่าแบบนั้นหรอกครับ” เด็กหนุ่มหัวเราะเจื่อนๆให้กับความคิดของตัวเอง

“เอ่อ…ทำไมคุณเกรฟส์ ถึงสั่งคุกกี้ในวันพายุเข้าแบบนี้ล่ะครับ” ชายหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นสูง สีหน้าครุ่นคิด

“ฉันเองก็อยากจะถามเหมือนกันว่าทำไมเธอถึงยอมมาส่งในวันพายุเข้าแบบนี้”

เพราะคุณเป็น มิสเตอร์ คุกกี้โอ๊ต ไงล่ะ

เครเดนซ์ไม่ได้ตอบคำถามนั้น เขาถูมือกับแก้ว นมอุ่นๆ และเมื่อชายหนุ่มลุกเดินไปหายออกไปจากห้องรับแขก เครเดนซ์ก็ถอดถุงมืออับชื้นออก รู้สึกคันที่แผลจนต้องถูไปกับผ้าห่มเบาๆเพื่อลดอาการคันและไม่ให้เพิ่มอาการบาดเจ็บ เขากระดกนมอึกสุดท้ายลงคอและเตรียมพร้อมที่จะกลับบ้านเสียที ก่อนที่เขาเป็นหนึ่งในตำนานที่พวกเด็กกำพร้าล่ำลือกัน

 

“ยื่นมือมา”

“ครับ?” เครเดนซ์ทำหน้างง เมื่อมิสเตอร์ เกรฟส์ เดินมาหยุดที่หน้าของเขา แต่ดูเหมือนอีกคนจะไม่อยากพูดซ้ำหรืออะไรก็ตามแต่ชายหนุ่มจับข้อมือของเครเดนซ์ ขึ้นมาแล้วทำหน้าตกใจเมื่อพบว่าบนมือซีดนั้นมีบาทแผลที่ไม่ได้รับการรักษาอยู่

“อะไรเนี่ย…” เด็กหนุ่มสะดุ้งรีบดึงมือกลับมาไขว้หลังไว้ ก้มหน้าลงต่ำมองพื้น เขาควรจะทำยังไงกับสถานการณ์ตอนนี้ดี ไม่เห็นหรอไงว่าเขาเป็นเด็กน่าสงสาร อย่าสาปให้เขาโดนอาถรรพ์แปลกๆเลยนะ

“นั่งลง” ชายหนุ่มออกคำสั่งขณะที่เดินไปหยิบกล่องปฐมพยาบาลมาจากลิ้นชักมุมห้อง และยิ่งขมวดคิ้วเป็นปมเมื่อพบว่าเด็กหนุ่มไม่ได้ทำตามคำสั่งของเขาเลยสักนิด

“ผม…ผมไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวก็หายแล้ว” ชายหนุ่มดันให้เครเดนซ์นั่งลงบนโซฟา โดยที่ให้ตนนั่งลงข้างๆ เครเดนซ์อยากจะกรีดร้องออกมาดังๆ แต่เขาไม่รู้ว่าเพราะที่เขาโดนมิสเตอร์ คุกกี้โอ๊ตสัมผัสเป็นครั้งที่สอง หรือ เพราะยาฆ่าเชื้อที่ดีเกินไป จะอย่างไหนมันก็ทำให้เขาครางต่ำออกมาด้วยความเจ็บอยู่ดี

“หึ อวดเก่ง” เสียงหัวเราะทุ้มต่ำกับริมฝีปากที่กระตุกยิ้มเล็กน้อยนั้นทำให้ เครเดนซ์เผลอตัวจ้องมองจนกระทั่งดวงตาสีเข้มคู่นั้นตวัดขึ้นมาสบตากับเขา เครเดนซ์ ไม่รู้ว่ากฎที่ห้ามสบตานั้นจริงๆแล้วมีสาเหตุเพราะอะไร แต่ที่รู้แน่ๆคือเขาชักอิจฉาคนที่เขียนกฎนี้ขึ้นมานิดหน่อยแล้ว

“เครเดนซ์ แบร์โบน ครับ” ชายหนุ่มทำหน้าสงสัยกับคำแนะนำตัวที่ผิดเวลาของเด็กหนุ่มแต่กระนั้นเขาก็ทำเพียงแค่คลี่ยิ้มออกมาน้อยๆ

“เพอร์ซิวาล เกรฟส์”

“ขอบคุณนะครับ”

“ยินดี”

 

 

 

 

 

เครเดนซ์กลับมาถึงบ้านหลังอาหารมื้อเย็น โชคดีที่โมเดสตี้แอบเก็บขนมปังแข็งๆไว้ให้เขาได้หนึ่งก้อน เขากลายเป็นที่ฮือฮาของเด็กกำพร้าในบ้าน เพราะทุกคนคิดว่าเขาจะต้องหายสาบสูญแน่ๆ เครเดนซ์กลับมาที่ห้องนอนล้วงไปหยิบเศษกระดาษที่อยู่ใต้หมอน ก่อนที่จะนำไปเผาทิ้ง เขาเหยียดกายลงบนเตียงนอนถอดถุงมือสีน้ำเงินเข้มที่เพิ่งได้รับมาออกซุกเก็บรักษาไว้ใต้หมอนราวกับสมบัติล้ำค่า  เขามองมือตัวเองที่ถูกพันแผลไว้อย่างดี ก่อนประทับจูบลงไปแผ่วเบา

 

ในเดือนต่อมาเครเดนซ์ ก็ได้รับใบสั่งของจากคนที่เขารอคอย แน่ล่ะเขายังได้ยินเสียงโห่ร้องเบาๆว่า ขอบคุณพระเจ้า’ มากกว่าสิบครั้งอยู่ และทุกๆครั้งที่มีการสั่งของจาก มิสเตอร์ คุกกี้โอ๊ต เครเดนซ์ก็จะเป็นผู้ได้รับรายชื่อนั้นไป เขาไม่เคยบอกใครว่าวันนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง บอกเพียงแค่ ’เขาทำผิดกฎ3ข้อ’ นั่นทำให้ทุกคนกล่าวขานกันเป็นตำนานใหม่ว่าเขาเป็นผู้ได้รับอาถรรพ์มากที่สุด เครเดนซ์ไม่ได้สนใจว่าใครจะพูดอะไร เมื่อเขาค้นพบว่าจริงๆแล้ว

คุกกี้รสข้าวโอ๊ตก็รสชาติไม่เลวนัก

 

Fin